ฝ่าพายุ ตะลุยดงทาก เขาหลวง ณ เมืองคอน

สวัสดีค่ะ Blog นี้ จขกท. จะพาไป ฝ่าพายุ ตะลุยดงทาก เขาหลวง ณ เมืองคอนกันค่ะ 

ทริปนี้เราไปมาช่วงวันที่ 10 -12 สิงหาคม 2562


ที่อุทยานแห่งชาติเขาหลวง จ. นครศรีธรรมราช กว้างใหญ่มาก กินพื้นที่ไปหลายอำเภอเลย

มีเส้นทางให้เลือกเดินหลายเส้นทางและเดินขึ้นได้จากหลายจุด หลายอำเภอทั้งยอดพันแปด, ยอดฝามี ผาเทวะ สันเครื่องบิน และอีกมากมาย

จุดนี้เราก็ยังงงๆ อยู่ว่าเส้นไหนเป็นเส้นไหน 55 เพราะบางจุดก็มีชื่อเรียกหลายชื่อ


นอกจากจะเลือกเส้นทางในการเดินแล้ว เราสามารถเลือกจำนวนวันในการเดินได้ 

จะ 5 วัน 4 คืน , 4 วัน 3 คืน หรือ 3 วัน 2 คืน

บางทีเส้นที่เราอยากไป วันลาพักร้อนอาจไม่เข้าใจเรากลุ่มเราเลือกเดินแบบ 3 วัน 2 คืน ก็จะเหลือเส้นทางให้เดินไม่กี่เส้น

ตอนแรกตั้งใจจะไปยอดพันแปดกัน แต่คุยกับพี่คนนำทางไปมา เลยตกลงที่จะไปเส้นผาเครื่องบินตก ซึ่งจะเริ่มเดินกันที่น้ำตกพรหมโลกค่ะ


ในการไปเดินที่เขาหลวง เท่าที่เราอ่านมาต้องติดต่อคนนำทาง

พวกเราลองติดต่อไปหลายๆเจ้า ตามที่มีคนแนะนำ ซึ่งแต่ละเจ้าจะให้ราคาไม่ต่างกันมาค่ะ 

อย่างที่เราไป 3 วัน 2 คืน ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 4000 – 4500 บาทซึ่งจะมีบริการรถรับ – ส่งจากสนามบิน – สถานีรถไฟ – ขนส่ง , อาหาร 6 มื้อ, คนนำทาง 3 คนและเจ้าหน้าที่อุทยาน 3 คน ซึ่งคนนำทางจะแบกอุปกรณ์กองกลางทั้งหมด ส่วนเราต้องแบกของส่วนตัวเองหมดทุกอย่าง


ส่วนมากทุกเจ้าก็จะรู้จักกันหมด อย่างคนที่เราติดต่อไปเขาติดลูกค้ากลุ่มอื่น ก็แนะนำเราให้อีกเจ้านึงแนะนำว่าให้ติดต่อไปก่อนล่วงหน้าซักระยะเลย เพราะบางทีเส้นที่เราจอยากเดินอาจมีกลุ่มอื่นจองไปก่อนแล้ว ถ้าเป็น Private group เราอาจต้องเลื่อนวันหรือถ้าเขาเปิดให้ join ได้ เราก็ไปรวมกลุ่มกับเขาได้ 


อุปกรณ์ที่เตรียมไป

1.  เปลหรือเต๊นท์ – เนื่องจากที่นี่พื้นที่ราบในการกางเต๊นท์น้อยถ้าไปกันเยอะอาจกางเต๊นท์กันไม่พอ       เผื่อฝนอาจตกน้ำไหลท่วมเต๊นท์อีก ทากก็ชุม เปลน่าจะสะดวกสุดค่ะ 

2.  ฟลายชีท – ถ้านอนเปล ต้องมีฟลายชีทไว้กันฝนด้วยค่ะ  ถ้าไม่มีทางทีมนำทางเขามีให้ยืม แต่เราต้องแบกขึ้นไปเองค่ะ

3.  ถุงนอนหรือผ้าห่ม – กลางคืนอากาศเย็นทีเดียว  

4.  ถุงกันทาก –  แนะนำว่าซื้อเตรียมไปจาก กทม.  เพื่อนบางคนกะไปซื้อที่นู่น ปรากฏว่าหมดค่ะ  อดใส่ ทากดูดเลือดสาดกันเลยทีเดียว     ที่นี่ทากเยอะจริงๆ แถมตัวใหญ่อีก ตอนอยู่แคมป์ยืนเฉยไม่ได้เลย  แล้วทากที่นี่ตัวสีน้ำตาล ยาวๆ เลยปีนเก่ง ปีนไว ขึ้นคอ เข้าพุงตลอด     ดึงออกก็ยาก ดึงอีกทางก็ดูดอีกทาง 

5.  รองเท้า – สามารถใช้รองเท้า  Trekking ผ้าใบ  หรือสตั๊ดดอยก็ได้ค่ะ แนะนำให้เอารองเท้าแบบสูงหน่อย      เพราะรองเท้าเตี้ยๆ ทากเข้าบ่อย ต้องเดิมก้มหยิบมันออกตลอดเวลา

6.  ไม้เท้า Trekking Pole -ตอนขาลงส่วนมากต้องเดินบนหินแถมมีตะใครอีก ถ้าคนเข่าไม่ดี แนะนำว่าติดไปก็ดีค่ะ ไว้กันกระแทกกับกันลื่น7.  เสื้อกันฝน – ป่าใต้ลมฝนไม่แน่ไม่นอนจริงๆ

8.  เสื้อผ้าสำรอง – เสื้อ กางเกง ถุงเท้า ถุงกันทาก สำรองเอาไว้เปลี่ยน เผื่อฝนตกชุดเปียกหนักค่ะ 

9.  ขวดน้ำ –  เอาไว้กรองน้ำในน้ำตกไว้ดื่ม 

10.  อาหารขนม – เอาไว้กินระหว่างทางกับตอนอยู่แคมป์ หรืออยากกินอะไรพิเศษก็เอาขึ้นไปเลยค่ะ 

11.  ยา – ยาส่วนตัว ยาแมลงสัตว์กัดต่อย พาสเตอร์  ยาธาตุ ยาแก้ไข้ ยาแก้ท้องเสีย พกไว้อุ่นใจค่ะ 

12.  ถุงขยะ –  ไว้ใส่เสื้อผ้าเปียก  หรือจะแพคของทั้งหมดใส่ถุงขยะแล้วเอาไว้กระเป๋าอีกที เผื่อฝนตกหนัก กระเป๋าเอาไม่อยู่    

ทั้งหมดคือเป็นของที่เราต้องแบกเองค่ะ เพราะงั้นควรมีเป้ที่ช่วยซัพพอร์ตเราได้พอสมควร
ก่อนไปออกกำลังกาย วิ่ง สควอท เตรียมร่างกายตามตำรา พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเลย!!

พวกเราเดินทางจากสนามบินดอนเมือง โดยแยกบินกันไปคนละไฟท์  ห่างกัน 1-2 ชั่วโมง
ทางทีมที่เราติดต่อด้วย จะมารับเราที่สนามบินพร้อมกันทีเดียว  


ส่วนเพื่อนบางคนที่ไปรอที่นครศรีธรรมราชก่อน ก็ต้องตามไปเองค่ะ กว่าจะรวมพลกันได้ครบ ก็เย็นมากแล้ว

วันนี้เราจะไปนอนที่พักชื่อ เขาขุนพนมโฮมสเตย์  
ค่าที่นอน + อาหารเช้าและเย็น ถ้าจำไม่ผิดน่าจะคนละ 200 บาท อาหาร ผลไม้อิ่มหมีพลีมัน
แพคของ แล้วก็แยกย้ายกันไปนอนเก็บแรง

เราสามารถฝากของบางส่วนไว้ที่บ้านพักหรือทางทีมคนนำทางก็ได้นะคะ

Day 1

วันนี้ตื่นแต่เช้า เช็คของอีกรอบ
9 โมงเช้า คุณลุงขับรถรถกะบะมาพร้อมกับพี่ๆ คนนำทาง 3 คน  
ช่วงที่เราไปมีพายุเข้าพอดี 3 วันพอดีเป๊ะ
คุณลุงที่มารับบอกว่าวันนี้ลมแรงน่าจะได้นอนที่แคมป์ 1 อย่างเดียว ไปแคมป์ 2 ไม่น่าไหว หืมมมม

แวะไปซื้อถุงกันทาก แต่ของหมด แป่ว
คุณลุงพาไปกินข้าวเช้า และก็ขับตรงไปน้ำตกพรหมโลก เจอกับพี่ๆ เจ้าหน้าที่อุทยาน  3 คน

พวกเรา 9 คน คนนำทาง 3 คน เจ้าหน้าที่อุทยาน 3 รวมเป็น 15 ชีวิต

เท่าที่คุยมา ได้ความว่าที่นี่ เจ้าหน้าที่ 1 คนต่อนักท่องเที่ยว 3 คน เพื่อดูแลนักท่องเที่ยวได้อย่างทั่วถึง
เพราะเส้นทางทีนี่ถ้าเดินหลงกลุ่มไปแปปเดียว อาจเลี้ยวผิดทางเลย

หลังจากแนะนำตัว ตรวจสัมภาระ รับข้าวกลางวัน 10 โมง ก็เริ่มเดินกันเลย
ตอนที่เราไปถึงน้ำตก มีลมแรงเสียงดังตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ก็แนะนำว่าลมแรงแบบนี้ น่าจะนอนที่แคมป์แรกทั้ง 2 คืน
เดี๊ยวไปรอดูสถานการณ์หน้างานว่าไปแคมป์สองไหว้ไหม

โดยช่วงแรกจะเดินขึ้นบันได เลาะน้ำตกพรหมโหลกไปเรื่อยๆ เลี้ยวเข้าสวนผลไม้ของชาวบ้าน
มีกองมังคุด ทุเรียน ตลอดทาง
ลมแรวก็พัดมาเป็นระยะ  ต้องคอยระวังทุเรียนหล่นใส่หัว
ถ้าลมนิ่งต้องรีบวิ่งให้ไกลต้นทุเรียบ เป้ก็หนัก ทุลักทุเลมากค่ะ

เดินๆ พักๆ ไปสักระยะ จะมีจุดหยุดพักที่กระท่อมชาวบ้าน  
มีมังคุดและทุเรียนสดๆ จากต้นให้กินเพิ่มน้ำตาลในเลือดหน่อย

หลังจากจุดพัก ก็จะเริ่มเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ต้องข้ามลำธาร
ตอนที่ข้ามลำธาร น่ากลัวมากค่ะ กระเป๋าก็หนัก หินก็ลื่น กลัวตกน้ำหัวฟาดหิน แล้วต้องข้ามลำธาร 4-5 อัน เป็นลมค่ะ

หลังจากช่วงกระท่อมมา ทากเริ่มมาแล้วค่ะ ยุ่บยับไปหมด หยุดยืนเฉยไม่ได้เลย
จนเที่ยงกว่าก็แวะกินข้าวกลางวันตรงลำธารค่ะ นั่งตรงไหนก็มีทากมาเยี่ยมตลอด
อาการกลางวันที่เราได้รับมาเป็นข้าวเหนียวไก่ทอด กินเสร็จก็ออกเดินต่อ

ทางชันขึ้นเรื่อยๆ จุดนี้อยากโยนกระเป๋าทิ้งมากค่ะ เป็นภาระมาก
ยังดีที่มีลมเย็นๆ ฝนตกเป็นระยะๆ จากพายุพัดมาให้ชื่นใจบ้าง
เดินจนมาถึงถึงลำธารสุดท้ายประมาณ บ่าย 3 โมง ก็ถึงแคมป์แรกแล้วค่ะ  รีบกางเปล กางฟลายชีท  ให้ทันฝน
เสร็จแล้วก็ไปแช่น้ำตก พักผ่อนกันตามอัธยาศัย

ส่วนพี่ๆคนนำทางและเจ้าหน้าที่ ก็จะกางฟลายชีทส่วนกลาง ทำอาหารเย็นค่ะ

จุดเริ่มเดิน น้ำตกพรหมโลก
เดินขึ้นบันไดไปทางน้ำตก
เห็นป้ายนี้ก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางเดินแล้วค่ะ
ช่วงแรกๆ ยังมีป้ายบอกทางให้เดินตามป้าย
ต้องพยายามเดินเกาะกลุ่มเพื่อนไว้ ไม่งั้นออกนอกเส้นทางกันตลอด


สวนต้นทุเรียนระหว่างทาง ถ้าหล่นใส่หัวคงเจ็บน่าดู


เราเดินเลาะลำธารไปเรื่อยๆ


ช่วงแรกฟ้าใสมากค่ะ สักพักฝนตกหนักเลย


มีลำธารให้ข้ามน่าจะประมาณ 4 -5 ครั้งได้ ฝนตกหินลื่น กระเป๋าก็หนัก ข้ามแต่ละทีหัวใจจะวายค่ะ
แวะกินเหนียวไก่ และให้อาหารเหล่าทากน้อย นั่งตรงไหนน้องก็พร้อมมา


อิ่มแล้วก็เดินต่อ ทางหลังจากนี้ก็จะเดินขึ้นเรื่อยๆ



เจอน้องสีสวยมาก จำไม่ได้ว่าตัวอะไร


เดินๆ พักๆ เน้นพักบ่อยกว่าเดิน


ข้ามลำธารสุดท้าย ก่อนถึงแคมป์ 1 ค่ะ
มาถึงก็รีบผูกเผล กางฟลายชีทเลย เพราะฝนตกๆ หยุดๆ ตลอดทั้งวั้น


หน้าตาแคมป์ของกลุ่มเรา สีสันสดใส
เสร็จแล้วก็พักผ่อน เล่นน้ำกันตามอัธยาศัยค่ะ
พี่ๆ คนนำทาง และเจ้าหน้าที่ เตรียมทำอาหารให้พวกเราค่ะ
อาหารเย็นก็จะเป็นแกง ผัดผัก คั่วกลิ้ง ไข่เจียว อาหารที่เจ้าหน้าที่ทำให้ จะแซ่บๆทุกมื้อค่ะ


กินเสร็จก่อนแยกย้าย ตกลงกันว่าถ้าพรุ่งนี้อากาศดีก็เก็บของย้ายไปนอนแคมป์ 2
ถ้าฝนตกก็ไปตัวเปล่ากลับมานอนที่เดิมค่ะ

ผ่านพ้นคืนแรก สำหรับการนอนเปลครั้งแรก ฝนตก ลมแรง เปลแกว่งตลอดคืน

สตรีขี้กลัวสิ่งลี้ลับอย่างเราเลยนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่

วันที่ 2

ฝนตกหนักยาวตั้งแต่กลางคืนยันเช้า พี่ๆ คนนำทางบอกว่าลมแรง ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่
เลยตกลงกันว่าจะเดินไปผาเครื่องบินแล้วกลับมานอนที่แคมป์ 1 ที่เดิม
เลยมีเวลาเดินไปนั่งชิลที่หน้าผาใกล้ๆ กับแคมป์ ชมพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งไม่เห็นอะไรเลย 55

กินข้าวเช้าและเริ่มออกเดินตอน 10 โมงค่ะ
พี่ๆ จะทำอาหารกลางวันมัดถุงให้พวกเราคนละชุด เป็นผัดคั่วกลิ้งราดข้าวค่ะ

วันนี้ฝนตกหนักตลอดทาง โชคดีมากที่ตัดสินใจไม่เอากระเป๋าเป้มา
ทางวันนี้ก็จะเดินขึ้นตลอด แค่เดินตัวเปล่ายังลื่น ล้มลุก ไถลลงเนินดินกันตลอด
ทากก็เยอะมากค่ะ ไม่รู้เพราะฝนตกยิ่งออกมากันหรือเปล่า  เกาะคอ เข้าเสื้อฝนให้ยุ่บยับไปหมด

เดินจนไปเจอต้นที่มีรูปร่างเหมือนก้น คนใต้น่าจะเรียกว่าวาร พี่เจ้าหน้าที่บอกว่านี่ไง ก้นวาร
พวกเราก็เถียงพี่เขาว่าไม่เหมือนวาฬซักหน่อย วาฬต้องเป็นหางสิ พี่เขาก็บอก ก้นวารๆ พร้อมใช้มือวาดให้ดู
เถียงกันอยู่นาน พวกเราก็อือๆ ตูดวาฬก็ตูดวาฬ จนขากลับ ผ่านอีกรอบ ยืนมองตั้งนาน ถึงอ๋อ ว่ามันคือทวาร ฮือออ
ไม่มีรูปเพราะมัวแต่ยืนเถียงกัน 55

เดินขึ้นกันไปประมาณ 2 ชั่วโมงจะถึงลานโล่งมีหินหัวใจ  ให้พักกินข้าวกลางวัน
พี่ๆ เขาก็กางเตา ต้มกาแฟ โอวัลตินให้ค่ะ เป็นการกินข้าวแบบทรมาณมาก ฝนตกหนัก ทากก็รุมตลอด

กินเสร็จก็เดินกันต่อค่ะ เริ่มเข้าป่าโบราณ ฝนก็เริ่มตกหนัก เดินจน แต่น แต๊นมาถึงไฮไลท์ที่มาวันนี้ค่ะ ผาเครื่องบิน!
เซอร์ไพรส์มากค่ะ เพราะลมแรงมาก ลมตีเสื้อฝนเแบบสวมแทบหลุดออกจากตัว คนกลัวความสูงแบบเราคือ เลิ่กลั่ก

พี่เจ้าหน้าที่บอกถ้าไม่ไหว ให้เดินกลับ จะพาไปอีกทาง
เราเดินไปนิดนึงก็หันหลังกลับเลยค่ะ 55 ไม่ไหวแล้ว กลัวมากกกก

ผ่านหน้าผานี้ไปก็เป็นจุดที่มีซากเครื่องบินตก เราเดินอ้อมไปข้างหลังหน้าผา ไปเจอกับเพื่อนที่จุดเครื่องบินตกค่ะ
สัมภาษณ์คนที่เดินข้ามหน้าผามา บอกว่าลมน่ากลัว แต่สุดยอดมาก อิจฉาาาาาาาาา

ถ่ายรูปเป็นที่ระทึก ที่ฝ่าลมฝ่าฝนกันมาได้  
ถ้าวันปกติที่ไม่มีลมฝนพายุ คนที่นอนแคมป์ 2 ก็จะเดินต่อไป แต่พวกเราเดินกลับทางเดิม

ถึงแคมป์ก็นอนแช่น้ำ กินข้าวเย็น

ทางเดินไปชมพระอาทิตย์ขึ้น ต้องปีนป่ายพอสมควร
ถึงแล้วค่ะ ผาน้ำตกชมพระอาทิตย์ เดินต้องระวังลื่นตกหน้าผา
ตรงนี้สัญญาณโทรศัพท์แรงทุกเครือข่าย


อากาศขมุกขมัว มองไม่เห็นอะไรเลย
พี่ๆ คนนำทางบอกว่าถ้าวันที่อากาศดีจะมองเห็นถึงแหลมตะลุมพุกเลยทีเดียว


พี่ๆ กำลังเตรียมอาหารกลางวันให้เราหิ้วไปกินระหว่างทาง
ส่วนหมูย่างนั่นเป็นการถนอมอาหาร เอาไว้ใส่แกงส้มมื้อเย็น
เริ่มเดินก็ชัน ฝนก็ตกหนักเลยทีเดียว


ข้อดีของฝนตก หมอกมาเต็ม อากาศเย็น แต่เดินไม่ค่อยสบาย มันเปียกไปหมดทั้งตัว
เดินขึ้นไปเรื่อยๆ รากไม้เยอะมาก เดินสะดุดตลอดเวลา


แวะเติมน้ำดื่มจากธรรมชาติแท้ๆ  พี่ๆเขาจะคอยบอกว่าแหล่งน้ำตรงไหนเติมได้
ทางเดินไปผาเครื่องบิน ทางเป็นก้อนหินตะไคร่เยอะ ขาลงนี่ลื่นกันกระจาย
คนข้อเข่าไม่ดี ควรหาไม้ไว้ค้ำกันกระแทก


ที่พักทานข้าวกลางวัน  เป็นลานโล่งมีหินรูปหัวใจ  


พี่คนนำทาง กางเตา ชงกาแฟ โอวัลตินแก้หนาวให้เรา
เห็นหินรูปหัวใจกันไหมคะ


แต่น แต๊น ผาเครื่องบินและเหล่าผู้กล้า


มองลงไปที่หน้าผา ก้าวพลาดคือร่วงยาว


เดินข้ามหน้าผามา เลี้ยวมาก็เจอซากเครื่องบิน
แมงมุมชักไย บนซากเครื่องบิน

เดินวนหน้าผา แล้วก็เดินกลับแคมป์ค่ะ
วันนี้ตากฝนกันทั้งวัน กินข้าว อัดยาแก้ไข แล้วนอนยาวค่ะ

Day 3

วันสุดท้าย เหมือนพายุจะหมดแล้ว แดดออก ฟ้าใส
เพื่อนๆ บางคนก็เดินไปชมวิวหน้าผา บางคนก็เก็บอุปกรณ์เปลนอน

เก็บของกันด้วยความรวดเร็ว
กินข้าวเช้า เก็บขยะ  เริ่มออกเดินตอนประมาณ 10.30 น.

ขากลับแดดร้อนมาก กระเป๋าเราก็หนักกว่าขามาเพราะเสื้อผ้าเปียกๆ

ผ่านกระท่อมชาวบ้านผลไม้ แวะกินมังคุดแทนข้าวกลางวัน
ใช้เวลาในการเดินลงประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง แปปเดียวก็ถึงน้ำตกพรหมโลกแล้วค่ะ

วันกลับอากาศดี ฟ้าแจ่ม แต่กล้องได้เปียกฝนจนพังไปแล้วเมื่อวาน เลยไม่ค่อยมีรูป

กองไฟที่เป็นทุกอย่างให้เรา ทั้งทำอาหาร ผิงไฟ ผึ่งผ้า

ทางเดินไปหน้าผาชมพระอาทิตย์ มีแอ่งน้ำตกให้นอนแช่ได้หลายจุด

หน้าตาของทากที่นี่ เกาะเก่ง ตามกันมาถึงกรุงเทพ

ร่ำลาทริปนี้ ด้วยคีรีวง

ที่ปลายทางพี่ๆ เจ้าหน้าที่อุทยานมีน้ำหวานมัดถุงใหญ่ๆ รอพวกเราอยู่
นั่งพักให้หายเหนื่อย ถ่ายรูปหมู่ร่ำลาพี่ๆ และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน

ลุงคนขับรถมารอรับ พร้อมไปส่งเราที่หมู่บ้านคีรีวง
นอนโฮมสเตย์ ปั่นจักรยานชมวิถีชาวบ้าน กินขนมจีนป้าเขียว
นอนสูดโอโซนกัน 1 คืนก็บินกลับกรุงเทพ โดยสวัสดิภาพ

กลับมาแล้ว 2 เดือน ทริปเขาหลวงยังคงตราตรึง เพราะรู้สึกไม่สมบูรณ์ เนื่องจากไม่ได้เดินไปนอนที่แคมป์ 2
ช่วงปลายปีเป็นช่วงพายุ เขาหลวงนคร ปิดการเดินสำรวจธรรมชาติ
ไว้ถ้ามีโอกาศจะกลับไปแก้มือ

สุดท้ายนี้ ขอบคุณพี่ๆ  ทั้งทีมคนนำทางและเจ้าหน้าที่อุทยานทุกท่านที่ดูแลพวกเราอย่างดี

ไม่มีหมวดหมู่

Leave a comment